เมนู

บทว่า สพฺโพ เม วิกโต โมโห ได้แก่ โมหะ 8 ประเภท
โดยต่างกันทางวัตถุ มีไม่รู้ทุกข์เป็นต้น คือโมหะแม้ทั้งหมด จำแนกออกไป
ได้ไม่ใช่น้อย โดยวิภาคแห่งสังกิเลสวัตถุของเรา ชื่อว่า ไปปราศแล้ว เพราะ
ถูกเรากำจัดแล้วด้วยมรรค.
บทว่า สีติภูโตสฺมิ นิพฺพุโต ความว่า พระเถระพยากรณ์พระ-
อรหัตผลว่า ด้วยการละกิเลสที่เป็นมูลได้อย่างนี้ เราชื่อว่าถึงแล้วซึ่งความ
เยือกเย็น เพราะไม่มีความกระวนกระวาย และความเร่าร้อนหลงเหลืออยู่
เพราะความที่สังกิเลสทั้งหลาย โดยตั้งอยู่ที่เดียวกันกับกิเลสมูลนั้น สงบระงับ
แล้วโดยชอบนั่นแหละ เพราะเหตุนั้นแล เราจึงชื่อว่าเป็นผู้ปรินิพพานแล้ว
เพราะดับกิเลสได้ โดยประการทั้งปวง.
จบอรรถกถารักขิตเถรคาถา

10. อุคคเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอุคคเถระ


[217] ได้ยินว่า พระอุคคเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
กรรมใดที่เราได้ทำไว้แล้ว น้อยหรือมากก็ตาม
กรรมทั้งหมดนั้นสิ้นไปแล้ว บัดนี้ การเกิดในภพใหม่
ไม่มี.

จบวรรคที่ 8

อรรถกถาอุคคเถรคาถา


คาถาของท่านพระอุคคเถระ เริ่มต้นว่า ยํ มยา ปกตํ กมฺมํ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ การทำบุญไว้ในภพนั้น ๆ เป็นอันมาก เกิดในเรือนแห่งตระกูล ใน
กาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้
ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว วันหนึ่ง เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี
เป็นผู้มีใจเลื่อมใสแล้ว ได้ทำการบูชาด้วยดอกการะเกด.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่
แต่ในสุคติภพเท่านั้น เกิดเป็นบุตรเศรษฐี ในอุคคนิคม ณ แคว้นโกศล ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ เขาได้นามว่า อุคคะ ดังนี้แล. เขาเจริญวัยแล้ว เมื่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ที่ภัททารามในนิคมนั้น ไปวิหารฟังธรรมใน
สำนักของพระศาสดา ได้เป็นผู้มีศรัทธาจิต บวชแล้วบำเพ็ญวิปัสสนา บรรลุ
พระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ไม้การะเกดกำลังมีดอก มีอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำกว้าง
ข้าพระองค์แสวงหาต้นการะเกดนั้นอยู่ ได้เห็นพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าผู้นำของโลก ในกาลนั้น ข้าพระองค์
เห็นต้นการะเกดมีดอกบาน จึงตัดที่ขั้วแล้ว
บูชาแด่พระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี ผู้เป็น
เผ่าพันธุ์ของโลก ข้าแต่พระมหามุนีพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
พระองค์ทรงบรรลุอมตบทอันไม่เคลื่อน ด้วยพระ